กรุงศรีอยุธยา
กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่บนบริเวณซึ่งมีแม่น้ำล้อมรอบถึง 3 สาย อันได้แก่ แม่น้ำลพบุรีทางทิศเหนือ,แม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศตะวันตกและทิศใต้ และแม่น้ำป่าสักทางทิศตะวันออก เดิมทีบริเวณนี้ไม่ได้มีสภาพเป็นเกาะ แต่พระเจ้าอู่ทองทรงดำริให้ขุดคูเชื่อมแม่น้ำทั้ง 3 สาย เพื่อให้เป็นปราการธรรมชาติป้องกันข้าศึก ที่ตั้งกรุงศรีอยุธยายังอยู่ห่างจากอ่าวไทยไม่มากนัก ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้ากับชาวต่างประเทศด้วย
ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของอำเภอพระนครศรีอยุธยา ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ประวัติ
ชาวไทยเริ่มตั้งถิ่นฐานบริเวณตอนกลาง และตอนล่างของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 แล้ว ทั้งยังเคยเป็นที่ตั้งของเมืองสังขบุรี อโยธยา เสนาราชนคร และกัมโพชนคร
ต่อมา ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรขอมและสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลง พระเจ้าอู่ทองทรงดำริจะย้ายเมืองและพิจารณาชัยภูมิเพื่อตั้งอาณาจักรใหม่ และตัดสินพระทัยสร้างราชธานีแห่งใหม่บริเวณตำบลหนองโสน (บึงพระราม) และสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 5 ปีขาล จุลศักราช 712 ตรงกับวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 1893 (พ.ศ.นี้เทียบจาก จ.ศ. แต่จะตรงกับ ค.ศ.1351) ชื่อว่า กรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดี ศรีอยุธยา มหาดิลก ภพนพรัตน์ราชธานี บุรีรมย์อุดมมหาสถาน ประวัติศาสตร์บางแห่งระบุว่าเกิดโรคระบาดขึ้น พระเจ้าอู่ทองจึงทรงย้ายเมืองหลวงมายังกรุงศรีอยุธยา
การขยายดินแดน
กรุงศรีอยุธยาดำเนินนโยบายขยายอาณาจักรด้วย 2 วิธีคือ ใช้กำลังปราบปราม ซึ่งเห็นได้จากชัยชนะในการยึดครองเมืองนครธม (พระนคร) ได้อย่างเด็ดขาดในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2และอีกวิธีหนึ่งคือ การสร้างความสัมพันธ์แบบเครือญาติ อันเห็นได้จากการผนวกกรุงสุโขทัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร
การล่มสลายของอาณาจักร
- ดูเพิ่มที่ การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
ช่วงสมัยรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เกิดการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระเจ้าเอกทัศกับพระเจ้าอุทุมพร เนื่องจากพระองค์ทรงเลือกพระอนุชาขึ้นเป็นกษัตริย์ไม่เป็นไปตามราชประเพณี แต่พระเจ้าเอกทัศก็ทวงบัลลังก์ ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา ครั้นในปี พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญาทรงนำทัพมารุกรานอาณาจักรอยุธยา พระเจ้าอุทุมพรทรงถูกเรียกตัวมาบัญชาการตั้งรับพระนคร แต่ภายหลังจากที่กองทัพพม่ายกกลับนั้น พระองค์ก็ได้ลาผนวชดังเดิม
ในปี พ.ศ. 2308 พระเจ้ามังระ บุตรของพระเจ้าอลองพญา ก็ได้รุกรานอาณาจักรอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง โดยแบ่งกองกำลังออกเป็น 2 ส่วน คือ ฝ่ายเหนือภายใต้การบังคับของเนเมียวสีหบดี และฝ่ายใต้ภายใต้การนำของมังมหานรธา และมุ่งเข้าตีอาณาจักรอยุธยาพร้อมกันทั้งสองด้าน ฝ่ายอยุธยาทำการตั้งรับอย่างเข้มแข็ง และสามารถต้านทานการปิดล้อมของกองทัพพม่าไว้ได้นานถึง 14 เดือน แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการล่มสลายได้ กองทัพพม่าสามารถเข้าเมืองได้ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310
พระราชวงศ์
ราชวงศ์กษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา ประกอบด้วย 5 ราชวงศ์ คือ
- ราชวงศ์อู่ทอง มีกษัตริย์ 3 พระองค์
- ราชวงศ์สุพรรณภูมิ มีกษัตริย์ 13 พระองค์
- ราชวงศ์สุโขทัย มีกษัตริย์ 7 พระองค์
- ราชวงศ์ปราสาททอง มีกษัตริย์ 4 พระองค์
- ราชวงศ์บ้านพลูหลวง มีกษัตริย์ 6 องค์
ซึ่งรวมเป็นกษัตริย์รวม 33 พระองค์ ซึ่งถือว่ามีมาก ซึ่ง อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีมาตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 1893 จนถึงวันที่ 7 เมษายน 2310 เป็นเวลายาวนานถึง 417 ปีเลยทีเดียว กษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา มีดังนี้
พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
อาณาจักรอยุธยา | ||
---|---|---|
อู่ทอง | พ.ศ. 1893 - 1952 | |
สุพรรณภูมิ | พ.ศ. 1952 - 2112 | |
กรุงแตกครั้งที่ 1 | พ.ศ. 2112 | |
สุโขทัย | พ.ศ. 2112 - 2172 | |
ปราสาททอง | พ.ศ. 2172 - 2231 | |
บ้านพลูหลวง | พ.ศ. 2231 - 2310 | |
กรุงแตกครั้งที่ 2 | พ.ศ. 2310 | |
พระมหากษัตริย์องค์สำคัญ | ||
พระเจ้าอู่ทอง | พ.ศ. 1893 - 1912 | |
พระบรมไตรโลกนาถ | พ.ศ. 1991 - 2031 | |
พระนเรศวรมหาราช | พ.ศ. 2133 - 2148 | |
พระเอกาทศรถ | พ.ศ. 2148 - 2153 | |
พระนารายณ์มหาราช | พ.ศ. 2199 - 2231 | |
ลำดับ | พระนาม | ปีที่ครองราชย์ | พระราชวงศ์ |
---|---|---|---|
1 | สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) | 1893 - 1912 (19 ปี) | อู่ทอง |
2 | สมเด็จพระราเมศวร (พระราชโอรสพระเจ้าอู่ทอง) ครองราชย์ครั้งที่ 1 | 1912 - 1913 (1 ปี) | อู่ทอง |
3 | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) | 1913 - 1931 (18 ปี) | สุพรรณภูมิ |
4 | สมเด็จพระเจ้าทองลัน (พระราชโอรสขุนหลวงพะงั่ว) | 1931 (7 วัน) | สุพรรณภูมิ |
สมเด็จพระราเมศวร ครองราชย์ครั้งที่ 2 | 1931 - 1938 (7 ปี) | อู่ทอง | |
5 | สมเด็จพระรามราชาธิราช (พระราชโอรสพระราเมศวร) | 1938 - 1952 (14 ปี) | อู่ทอง |
6 | สมเด็จพระอินทราชา (เจ้านครอินทร์) (พระราชนัดดาของขุนหลวงพระงั่ว) | 1952 - 1967 (16 ปี) | สุพรรณภูมิ |
7 | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) (พระราชโอรสเจ้านครอินทร์ ) | 1967 - 1991 (16 ปี) | สุพรรณภูมิ |
8 | สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พระราชโอรสเจ้าสามพระยา) | 1991 - 2031 (40 ปี) | สุพรรณภูมิ |
9 | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (พระราชโอรสพระบรมไตรโลกนาถ) | 2031 - 2034 (3 ปี) | สุพรรณถูมิ |
10 | สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระราชโอรสพระบรมไตรโลกนาถ) | 2034 - 2072 (38 ปี) | สุพรรณภูมิ |
11 | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (พระราชโอรสพระรามาธิบดีที่ 2) | 2072 - 2076 (4 ปี) | สุพรรณภูมิ |
12 | พระรัษฎาธิราช (พระราชโอรสพระบรมราชาธิราชที่ 4) | 2076 (5 เดือน) | สุพรรณภูมิ |
13 | สมเด็จพระไชยราชาธิราช (พระราชโอรสพระรามาธิบดีที่ 2) | 2077 - 2089 (12 ปี) | สุพรรณภูมิ |
14 | พระยอดฟ้า (พระแก้วฟ้า) (พระราชโอรสพระไชยราชาธิราช) | 2089 - 2091 (2 ปี) | สุพรรณภูมิ |
ขุนวรวงศาธิราช (สำนักประวัติศาสตร์บางแห่งไม่ยอมรับว่าเป็นกษัตริย์) | 2091 (42 วัน) | - | |
15 | สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พระเทียรราชา) | 2091 - 2111 (20 ปี) | สุพรรณภูมิ |
16 | สมเด็จพระมหินทราธิราช (พระราชโอรสพระมหาจักรพรรดิ) | 2111 - 2112 (1 ปี) | สุพรรณภูมิ |
17 | สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช (พระราชบุตรเขยในพระมหาจักรพรรดิ) | 2112 - 2133 (21 ปี) | สุโขทัย (พระร่วง) |
18 | สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พระราชโอรสพระมหาธรรมราชา) | 2133 - 2148 (15 ปี) | สุโขทัย(พระร่วง) |
19 | สมเด็จพระเอกาทศรถ (พระราชโอรสพระมหาธรรมราชา) | 2148 - 2163 (15 ปี) | สุโขทัย (พระร่วง) |
20 | พระศรีเสาวภาคย์ (พระราชโอรสพระเอกาทศรถ) | 2163 (ไม่ทราบที่แน่ชัด) | สุโขทัย (พระร่วง) |
21 | สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พระราชโอรสพระนเรศวร)[ต้องการอ้างอิง] | 2163 - 2171 (8 ปี) | สุโขทัย (พระร่วง) |
22 | สมเด็จพระเชษฐาธิราช (พระราชโอรสพระเจ้าทรงธรรม) | 2171-2173 (2 ปี) | สุโขทัย (พระร่วง) |
23 | พระอาทิตยวงศ์ (พระราชโอรสพระเจ้าทรงธรรม) | 2173 (36 วัน) | สุโขทัย (พระร่วง) |
24 | สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (ออกญากลาโหมสุริยวงค์) | 2173 - 2198 (25 ปี) | ปราสาททอง |
25 | สมเด็จเจ้าฟ้าไชย (พระราชโอรสพระเจ้าปราสาททอง) | 2198-2199 (1 ปี) | ปราสาททอง |
26 | สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา (พระราชอนุชาพระเจ้าปราสาททอง) | 2199 (3 เดือน) | ปราสาททอง |
27 | สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พระราชโอรสพระเจ้าปราสาททอง) | 2199 - 2231 (32 ปี) | ปราสาททอง |
28 | สมเด็จพระเพทราชา | 2231 - 2246 (15 ปี) | บ้านพลูหลวง |
29 | สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ) | 2246 - 2251 (6 ปี) | บ้านพลูหลวง |
30 | สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 (พระราชโอรสพระเจ้าเสือ) | 2251 - 2275 (24 ปี) | บ้านพลูหลวง |
31 | สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พระราชโอรสพระเจ้าเสือ) | 2275 - 2301 (26 ปี) | บ้านพลูหลวง |
32 | สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (พระราชโอรสพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) | 2301 (2 เดือน) | บ้านพลูหลวง |
33 | สมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) (พระราชโอรสพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) | 2301 - 2310 (9 ปี) | บ้านพลูหลวง |
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ปัจจัยที่ทำให้อยุธยาต้องขยายอำนาจ
ทางการเมือง - ความเข้มแข็งและอำนาจของอาณาจักร ทางเศรษฐกิจ - เพื่อความมั่งคั่งของอาณาจักร
รูปแบบความสัมพันธ์ 1.ด้านสู้รบ 2.ระบบบรรณาการ 3.ทางการฑูต/การค้า
จีน - ระบบบรรณาการ
ญี่ปุ่น - ทางการค้า(สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ) แต่เมื่อญี่ปุ่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองของไทย พระเจ้าปราสาททองจึงกำราบ ทำให้ความสัมพันธ์เสื่อมลง แต่ไทยก็ยังคงค้าขายกับญี่ปุ่นอยู่ โดยผ่านทางฮอลันดา
อาณาจักรสุโขทัย - ทางการสู้รบ อยุธยาพยายามขยายอำนาจเข้าไปยังสุโขทัย
ล้านนา - ทางการสู้รบ อยุธยาพยายามขยายอำนาจเข้าไปยังล้านนา
พม่า - รูปแบบของการทำสงคราม และ เป็นสงครามที่ยืดยื้อ
ล้านช้าง - เป็นลักษณะมีไมตรีต่อกันตั้งแต่สถาปนากรุงศรีถึงสิ้นอยุธยา
เขมร - มีทั้งการสู้รบและด้านวัฒนธรรม โดยอยุธยาเป็นฝ่ายรับมา
หัวเมืองมลายู - อยุธยาขยายอำนาจไปยังหัวเมืองมลายูด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ
ความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก
รูปแบบความสัมพันธ์ 1.สร้างสัมพันธ์ไมตรี 2.รับวิทยาการตะวันตก 3.รักษาเอกราชของอาณาจักร
โปรตุเกส - เป็นประเทศแรกที่เข้ามาติดต่อกับอยุธยา
สเปน - การค้าไม่ขยายตัวกว้างมากนัก เพราะ สเปนมุ่งจะเจริญสัมพันธ์ไมตรี
ฮอลันดา - ผลประโยชน์ทางการค้า แต่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ฮอลันดาเริ่มไม่ชอบระเบียบการค้าขายกับไทยที่ต้องผ่านพระคลังสินค้า จึงส่งเรือรบมาปิดปากอ่าวไทย
ฝรั่งเศส - อยุธยาจึงมีสัมพันธ์ไมตรีกับฝรั่งเศส เพื่อถ่วงดุลย์อำนาจกับฮอลันดา
อังกฤษ - ความสัมพันธ์ด้านทางการค้าแต่ไม่ดีมากนัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น